เฟอรารี่
หลังเปิดตัวและทำตลาดนานเกือบ 10 ปีถึงเวลาแล้วที่สายพันธุ์สปอร์ตจีทีรุ่นใหญ่เครื่องยนต์วางด้านหน้าอย่าง 550 มาราเนลโล (ก่อนปรับโฉมเปลี่ยนชื่อมาเป็น 575เอ็มในปี 2002) จะถูกปลดระวางและมีตัวแทนเข้ามาสานต่อความสำเร็จในตลาดกลุ่มนี้ โดยในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2006 ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เฟอร์รารี่เผยโฉมสปอร์ตรุ่นใหญ่ 599จีทีบี ที่สดใหม่ทั้งรูปลักษณ์และพกความแรงอันจัดจ้านด้วยการสวมหัวใจของซูเปอร์คาร์ เฟอร์รารี่ เอ็นโซ่ 599จีทีบีเป็นสปอร์ตคูเป้ 2 ที่นั่งเครื่องยนต์วางด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหลังที่ถูกพัฒนาขึ้นมาทำตลาดแทนที่รุ่น 550 มาราเนลโล ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1996 และ 10 ปีที่อยู่ในตลาดทั้ง 550 มาราเนลโล และ 575เอ็ม ซึ่งเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ มียอดจำหน่ายทั่วโลก 5,700 คัน อาจจะดูซ้ำซ้อนกับ 612 ซึ่งเป็นสปอร์ตเครื่องยนต์วางด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหลังเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วทั้ง 2 รุ่นจับลูกค้าคนละกลุ่มอย่างชัดเจน โดย 599จีทีบี เป็นคูเป้ 2 ที่นั่งที่เน้นความปราดเปรียวและสมรรถนะอันจัดจ้าน โดยที่ 612 เป็นสปอร์ตแบบ 4 ที่นั่งสำหรับเอาใจลูกค้าที่อยากขับรถสปอร์ตแต่ใจไม่ถึง ยังห่วงว่าถ้ามากัน 4 คนอีก 2 คนจะมายังไง สำหรับชื่อรุ่น 599 คือ จำนวนซีซีของครื่องยนต์ ส่วนรหัสจีทีบีเคยถูกนำมาใช้กับรถสปอร์ตเฟอร์รารี่หลายรุ่น เช่น 2
BMW 501 : นกอินทรีทรงเสน่ห์
Last update:2006-02-02 Source :Blog
บีเอ็มดับเบิลยู คือรถเยอรมันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ทำตลาด รถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยูทุกรุ่นได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นรถรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน อย่างเช่นรถบีเอ็มดับเบิลยู 501 ปี 1955 ของคุณบุญชัย หล่อยืนยง หนึ่งในสามชิกของชมรมรถโบราณ ซึ่งเหตุผลการตัดสินใจซื้อรถที่มีอายุอานามกว่า 30 ปีมานั้น เจ้าตัวบอกว่าเป็นเพราะหลงเสน่ห์ประกอบกับความมีลูกบ้าอยู่ในตัว ทำให้เมื่อเห็นตัวรถจึงได้ตัดสินใจซื้อมาในทันที แต่อย่างไรก็ตามหนทางในการจะเป็นเจ้าของรถคันนี้ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เมื่อทางเจ้าของเดิมใช้เวลาในการตัดสินใจว่าจะขายต่อดีหรือไม่เป็นเวลานาน
“พอดีมีเพื่อนที่รู้จักมาแนะนำว่ามีรถบีเอ็มดับเบิลยูเก่าๆอยู่คันหนึ่ง ซึ่งพอเราได้เห็นก็ตัดสินใจที่จะซื้อทันที ประมาณว่ารักแรกพบเลยก็ได้ โดยเสน่ห์ของตัวรถที่ดึงดูดให้เราตัดสินใจซื้อก็เพราะว่ารูปทรงของตัวรถที่เป็นเอกลักษณ์ ในส่วนตัวผมมองว่ารถมันเหมือนนกอินทรี ซึ่งดูสง่างามมาก และเมื่อมาศึกษาดูข้อมูลตัวรถก็พบว่าเป็นรถไลน์แรกๆที่ผลิตขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยิ่งทำให้อยากสะสมและเป็นเจ้าของ “ หลังจากที่ได้มาครอบครองคุณบุญชัยก็เริ่มแปลงโฉมให้กับเจ้านกอินทรีคันนี้โดยได้ร่วมกับช่างและเพื่อนสนิท ซึ่งในกระบวนการแต่งหล่อให้กับรถคันนี้ค่อนข้างจะใช้เวลานาน เนื่องจากชิ้นส่วนและอะไหล่บางชิ้นหาได้ยากมาก เพราะรถค่อนข้างจะมีอายุที่นาน แต่ในส่วนอื่นๆที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือ สีขาวของตัวรถที่โดดเด่นดึงดูดตา รวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆที่ติดมากับตัวรถก็เน้นของเดิมทุกอย่าง สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู 501 ปี 1955 มีขุมพลังของเครื่องยนต์ขนาด 2,000 ซีซี . จำนวนกระบอกสูบ 6 สูบ พวงมาลัยซ้ายเนื่องจากว่าเป็นรถนำเข้าในขณะนั้น นอกจากนั้นแล้วยังมีจุดที่น่าสนใจของรถก็คือ ช่วงล่างแบบไฮโดรลิก ที่ถือว่าเป็นของใหม่อย่างมากในยุคสมัยนั้น ทั้งหมดนี้จึงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้เจ้าของประทับใจในตัวรถคันนี้อย่างมาก
นอกเหนือจากรถคลาสสิคอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู 501 แล้วคุณบุญชัย ยังมีรถคลาสสิคในความครอบครองอีกหลายคัน แต่คันที่ถือเป็นคันโปรดซึ่งทางเจ้าของรักมากที่สุดก็คือ แลนด์เชสเตอร์ ปี 1953 ซึ่งหาได้ยากมากในบ้านเรา นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีสแตนดาร์ด ปี 1954 อีกคัน คุณบุญชัย ก็ได้ฝากถึงผู้ที่อยากมีรถคลาสสิคมาครอบครองว่าควรเริ่มเล่นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการเล่นรถในแต่ละครั้งนั้นก็ควรดูกำลังทรัพย์ด้วยว่ามีพร้อมแค่ไหน หากเพิ่งเริ่มก็ควรเป็นรถที่หาง่ายราคาไม่แพงก่อน จะได้ศึกษาเรื่องอะไหล่ไปในตัวด้วย แต่ถ้าจะให้สนุกก็ต้องเป็นรถที่ยังไม่ได้แปลงโฉม เพราะจะได้ฝึกความอดทนในการซ่อมแซมให้กลับมาสวยงามอีกครั้ง "ความภูมิใจของคนที่สะสมรถโบราณไม่ได้อยู่ที่ราคาของมัน แต่อยู่ที่คุณค่าและประวัติอันน่าสนใจ ใครจะไปรู้ล่ะครับ ถ้าเกิดรถที่คุณมีอยู่อาจจะเป็นแค่คันเดียวในโลกก็ได้"50จีทีบี, 275จีทีบี, 365จีทีบีโฟร์ โดยมีรุ่น 348จีทีบีเป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้รหัสนี้และวางขายในระหว่างปี 1993-1995 ซึ่งรหัสจีทีบีจะต่างจากรุ่นทั่วไป ตรงที่ได้รับการเซ็ตให้เครื่องยนต์มีสมรรถนะสูงขึ้นและสามารถใช้ในสนามแข่งได้ โดยมากับตัวถังแบบหลังคาแข็งหรือที่เรียกว่าเบอร์ลิเน็ตต้า (Berlinetta-ซึ่งตัว B ที่ต่อท้ายก็ย่อมาจากคำนี้) เท่านั้น รูปลักษณ์ภายนอกได้รับการออกแบบโดยพินินฟารินา ขณะที่โครงสร้างตัวถังและระบบช่วงล่างผลิตจากอะลูมิเนียม จึงทำให้มีน้ำหนักเบาในระดับประมาณ 1,400-1,500 กิโลกรัม ขณะที่ตัวถังมีความยาว 4,665 มิลลิเมตร กว้าง 1,960 มิลลิเมตร สูง 1,336 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร พร้อมกับเสริมความปราดเปรียวด้วยล้อแม็กลายสวยขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 245/40ZR19 ที่ล้อหน้า และขนาด 20 นิ้วพร้อมยาง 305/35ZR20
BMW ดันสปอร์ตหรูX3ลงถนน
Last update:2006-02-02 Source :Blog
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดฉากปี 2549 ด้วยการนำเอา BMW X3 ขนาด 2.5 ลิตร ที่ประกอบภายในประเทศออกขายแล้ว พร้อมรับจองและส่งรถให้ลูกค้าได้ปลายเดือนนี้ กล่าวถึง X3 เจนเนอเรชั่นนี้ทางเทคนิคแล้ว ต้องบอกว่า มาเต็มกำลัง ผ่านเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงขนาด 2.5 ลิตร ที่สร้างกำลังสูงสุด 192 แรงม้า แรงบิด 245 นิวตันเมตร พร้อมกับระบบส่งกำลังอัตโนมัติแบบ 5 สปีด ที่สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 10 วินาที สำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น X3 ตัวนี้ยังผนวกเอานวัตกรรมขับเคลื่อนแบบใหม่หรือ xDrive เข้ามาเสริมอีกด้วย โดยระบบ xDrive นี้จะทำให้ X3 สามารถที่จะบุกตะลุยไปยังพื้นผิวถนนได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นบนท้องถนนหรือพื้นที่ Off Road ผ่านการกระจายกำลังขับเคลื่อนระหว่างเพลาขับเคลื่อนหน้าและหลังได้แบบผันแปรตลอดเวลา X3 ที่ออกมาทำตลาดมี 2 เวอร์ชั่น คือ รุ่นมาตรฐานราคา 3.5 ล้านบาท และรุ่นพิเศษราคา 3.8 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 เวอร์ชั่นนี้จะมาพร้อมกันกับ ชุดแต่งกันชนหน้าและหลังแบบ “เอ็ม แอร์โร่ว์ ไดนามิก” ที่พ่นสีเดียวกันกับตัวถังรถ ล้ออัลลอย 17 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ต และไฟหน้าไบซีนอนเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับโปรแกรมการดูแลรักษานั้น X3 มีโปรแกรมเช่นเดียวกับ BMW รุ่นใหม่คันอื่น ๆ คือ ดูแลอย่างใกล้ชิดและสมบูรณ์เป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะทำให้เจ้าของรถทุกท่านสบายใจและไม่ต้องวิตกกับเรื่องค่าใช้จ่ายตลอดระยะการดูแล นอกเหนือไปจากนี้ ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของ X3 ได้ด้วยโปรแกรมทางการเงินแบบ “แวลูพลัส” ด้วยการวางเงินมัดจำเริ่มต้นที่ 875,000 บาท และชำระค่าใช้จ่ายต่อเดือนต่ำกว่า 50,000 บาท ซึ่งเมื่อหมดสัญญาสามารถจะคืนรถของตนเองให้กับดีลเลอร์ที่ตนเองซื้อ พร้อมรับเงินมัดจำเริ่มต้นคืนกลับไปได้เลย.
ป้ายกำกับ: BMW ดันสปอร์ตหรูX3ลงถนน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก